ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Javascript ภาษาสำหรับสร้างและการพัฒนาเว็บไซต์และเว็บแอปพลิเคชันเพื่อให้มีความโต้ตอบและไดนามิกมากขึ้น (Web Application Interavtive)

เนื้อหาเกี่ยวกับ Javascipt

  1.  Javascript คืออะไร
  2.  Javascript มีหน้าที่อะไร และทำงานอย่างไร
  3.  Javascript มีพัฒนาการอย่างไร
  4.  Javascript ใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
  5.  บทสรุปของภาษา Javascript 


1. Javscript คืออะไร

JavaScript เป็นภาษาโปรแกรมมิ่งที่ใช้ในการพัฒนาเว็บไซต์และเว็บแอปพลิเคชันเพื่อให้สามารถโต้ตอบและไดนามิก กับผู้ใช้งานมากขึ้น โดยทำงานร่วมกับ HTML และ CSS และเป็นภาษาที่สามารถทำงานได้ทั้งฝั่งผู้ใช้ (client-side) และฝั่งเซิร์ฟเวอร์ (server-side) ด้วยเทคโนโลยีอย่าง Node.js 


2. หน้าที่และประโยชน์ของ JavaScript

  • ทำให้เว็บไซต์มีชีวิตชีวา หมายถึง ให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบและมีความเป็นไดนามิกมากขึ้น ดังนั้น JavaScript ช่วยให้เว็บไซต์ที่สร้างขึ้นด้วย HTML และ CSS มีการเคลื่อนไหว โต้ตอบ และเปลี่ยนแปลงเนื้อหาได้ เช่น การแสดงภาพเคลื่อนไหว การเปลี่ยนสีข้อความ หรือการสร้างเมนูแบบไดนามิก
  • เพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเว็บไซต์ได้ทันที เช่น การกรอกฟอร์มแล้วแสดงข้อความแจ้งเตือนว่าข้อมูลผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน หรือการโหลดข้อมูลเพิ่มเติมโดยไม่ต้องรีเฟรชหน้า
ทำงานได้ทั้งฝั่ง client และ server ที่ผ่านมาการทำงานบนเว็บส่วนใหญ่จะทำงานในฝั่ง Server หรือเรียกว่า Server-side จนพัฒนามาเป็น Client-side ที่ทำงานพร้อมกับ Server-side ไปด้วยเพื่อลดการใช้ทรัพยากรในฝั่งของ Server อะไรที่ทำบน Client ได้ ก็ให้ Client ทำงานแทน สามารถที่จะลดการใช้ทรัพยากรฝั่ง Server ลง 
  • Client-side โค้ด JavaScript จะทำงานบนเว็บเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ ทำให้การตอบสนองรวดเร็ว
  • Server-side สามารถใช้ร่วมกับ Node.js เพื่อสร้างแอปพลิเคชันฝั่งเซิร์ฟเวอร์ ทำให้สามารถใช้ JavaScript ได้ทั้งในส่วนหน้าบ้านและหลังบ้านของเว็บไซต์
เป็นภาษาที่เรียนรู้ง่าย: มีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อนมากนัก เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น และมีแหล่งข้อมูลมากมายบนอินเทอร์เน็ต

แนวคิดเดิมของเว็บเพจเป็นแบบคงที่ Static ที่มีแค่ ภาษา HTML ใช้เพื่อสื่อสารกันระหว่างเครือข่าย ต่อมาได้มีการเพิ่มการจัดรูปแบบด้วย CSS ซึ่งจะคล้ายๆกับหน้าหนังสือ 1 หน้า เรียกว่า Page แต่ละ Page จะประกอบไปด้วยเนื้อหาส่วนต่างๆ รวมกันหลายๆ Page เรียกวา Website ในปัจจุบัน แต่ยังเป็นลักษณะเป็นแบบคงที่สามารถเชื่อมโยงกันไปยังหน้าต่างๆ ได้ สำหรับแนวคิดของเว็บไซต์สมัยใหม่ เริ่มมีความต้องการที่จะให้มีการโต้ตอบกับผู้ใช้มากขึ้น จึงได้มีการคิดค้นภาษา JavaScript  เพื่อตอบสนองความต้องการ ซึ่ง Javascript เกิดขึ้นในฐานะเทคโนโลยีฝั่งเบราว์เซอร์เพื่อทำให้เว็บแอปพลิเคชันมีความเป็นไดนามิกมากขึ้น เมื่อใช้ JavaScript เบราว์เซอร์จะสามารถตอบสนองต่อการโต้ตอบของผู้ใช้และเปลี่ยนแปลงเค้าโครงเนื้อหาบนเว็บเพจได้


เมื่อภาษาผ่านการพัฒนาอย่างเต็มที่ นักพัฒนา JavaScript ก็สร้างไลบรารี เฟรมเวิร์ก และแนวทางปฏิบัติในการเขียนโปรแกรม แล้วเริ่มนำ JavaScript ไปใช้นอกเว็บเบราว์เซอร์ วันนี้ คุณสามารถใช้ JavaScript สำหรับทั่งการพัฒนาฝั่งไคลเอ็นต์และฝั่งเซิร์ฟเวอร์ เราให้ตัวอย่างกรณีการใช้พบที่พบบ่อยบางส่วนในหัวข้อย่อย


3. JavaScript มีพัฒนาการอย่างไร



  • ภาษา JavaScript ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1994 โดยชาวอเมริกันที่ชื่อว่า Brendan Eich อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของบริษัท Netscape และได้รับการเปิดตัวครั้งแรกในปีถัดมาในชื่อ LiveScript  
  • ในปี 1995 Microsoft เปิดตัว Internet Explorerได้สร้างอินเทอร์พรีเตอร์ของตัวเองที่เรียกว่า JScript 
  • ปี 1996 Microsoft เปิดตัว JScript ครั้งแรกในปี 1996 พร้อมกับการรองรับ CSS และส่วนขยายของHTML 
  • ปี 1997 หลังจากที่ EMCA International  กำหนดนมาตรฐาน ECMAScript ที่มีรากฐานการใช้งานของ JavaScript เป็นพื้นฐานอยู่ในนั้นด้วย โดย ECMAScript
  • ปี 2000-2004  เมื่อกำเนิดเบราว์เซอร์ Firefox Firefox ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ใช้จำนวนมาก และสามารถแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจาก Internet Explorer ได้อย่างมีนัยสำคัญ 
  • ปี 2005 Mozilla ได้เข้าร่วมกับ ECMA International และได้เริ่มพัฒนา มาตรฐาน ECMAScript for XML (E4X) เกิดภาษา ActionScript 3 ซึ่งพัฒนาจากร่าง ECMAScript 4 
  • ปี 2009 จนถึงปัจจุบัน Javascript ได้ถูกโอนไปยัง Sun Microsystem
  • ปี 2010 กำเนิด Node.js เพื่อรองรับการใช้งานภาษา javascript ทั้งในฝั่ง Service-side และ Client-side




4. JavaScript ทำงานอย่างไร

JavaScript ได้รับการจัดประเภทอย่างกว้าง ๆ ว่าเป็นภาษาเขียนสคริปต์ หรือภาษาที่แปลผลแล้ว โค้ด JavaScript ได้รับการแปลผลนั่นคือ แปลโดยตรงเป็นโค้ดภาษาสำหรับเครื่อง ด้วยกลไกล JavaScript ในขณะที่ในภาษาโปรแกรมอื่น ๆ คอมไพเลอร์จะคอมไพล์โค้ดทั้งหมดเป็นโค้ดสำหรับเครื่องในขั้นตอนที่แยกต่างหาก ดังนั้น ภาษาเขียนสคริปต์ทั้งหมดจึงเป็นภาษาโปรแกรม แต่ไม่ใช่ว่าภาษาโปรแกรมทั้งหมดจะเป็นภาษาเขียนสคริปต์เสมอไป

กลไก JavaScript

กลไก JavaScript คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียกใช้โค้ด JavaScript กลไก JavaScript เคยเป็นเพียงตัวแปลผล แต่กลไกสมัยใหม่ทั้งหมดใช้การคอมไพล์แบบ Just-in-time หรือรันไทม์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

JavaScript ฝั่งไคลเอ็นต์
JavaScript ฝั่งไคลเอ็นต์หมายถึงวิธีที่ JavaScript ทำงานในเบราว์เซอร์ของคุณ ในกรณี กลไก JavaScript จะอยู่ภายในโค้ดเบราว์เซอร์ เว็บเบราว์เซอร์เจ้าใหญ่ ๆ ทั้งหมดจะมาพร้อมกับกลไก JavaScript ในตัว

นักพัฒนาแอปพลิเคชันเว็บจะเขียนโค้ด JavaScript ที่มีฟังก์ชันที่แตกต่างกันสัมพันธ์กับเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การคลิกเมาส์ หรือการเลื่อนเมาส์ผ่าน ฟังก์ชันเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลง HTML และ CSS

ต่อไปนี้เป็นภาพรวมว่า JavaScript ฝั่งไคลเอ็นต์ทำงานอย่างไร:

  •  เบราว์เซอร์โหลดเว็บเพจเมื่อคุณเยี่ยมชมเว็บเพจ
  • ระหว่างการโหลด เบราว์เซอร์แปลงหน้าและองค์ประกอบทั้งหมดของหน้า เช่น ปุ่ม ป้าย และกล่องดรอปดาวน์ เป็นโครงสร้างข้อมูลที่เรียกว่าโมเดลอ็อบเจกต์เอกสาร (DOM)
  • กลไก JavaScript ของเบราว์เซอร์แปลงโค้ด JavaScript เป็นไบต์โค้ด โค้ดนี้เป็นตัวกลางระหว่างไวยากรณ์ JavaScript และเครื่อง
  • เหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การคลิกเมาส์บนปุ่ม จะกระตุ้นให้บล็อกโค้ด JavaScript ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ จากนั้นกลไกจะแปลผลไบต์โค้ด และทำการเปลี่ยนแปลง DOM
  • เบราว์เซอร์แสดงผล DOM ใหม่

  • JavaScript ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ Server-side
กลไก JavaScript จะอยู่บนเซิร์ฟเวอร์โดยตรง ฟังก์ชัน JavaScript ฝั่งเซิร์ฟเวอร์สามารถเข้าถึงฐานข้อมูล ดำเนินการทางตรรกะแบบต่าง ๆ และตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ถูกกระตุ้นจากระบบปฏิบัติการของเซิร์ฟเวอร์ ข้อได้เปรียบหลักของการเขียนสคริปต์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์คือคุณสามารถปรับแต่งการตอบสนองของเว็บไซต์โดยอ้างอิงตามข้อกำหนดของคุณ สิทธิ์เข้าถึงของคุณ และคำขอข้อมูลจากระบบได้เป็นอย่างมาก

  • ฝั่งไคลเอ็นต์เทียบกับฝั่งเซิร์ฟเวอร์ Client-side
คำว่าไดนามิกอธิบาย JavaScript ทั้งฝั่งไคลเอ็นต์และฝั่งเซิร์ฟเวอร์ พฤติกรรมไดนามิกคือความสามารถที่จะอัปเดตการแสดงของเว็บเพจเพื่อสร้างเนื้อหาใหม่ตามที่จำเป็น ความแตกต่างระหว่าง JavaScript ฝั่งไคลเอ็นต์และฝั่งเซิร์ฟเวอร์อยู่ที่วิธีการที่ JavaScript สร้างเนื้อหาใหม่ โค้ดฝั่งเซิร์ฟเวอร์สร้างเนื้อหาใหม่แบบไดนามิกด้วยการใช้ลอจิกของแอปพลิเคชันและปรับเปลี่ยนข้อมูลจากฐานข้อมูล ส่วน JavaScript ฝั่งไคลเอ็นต์สร้างเนื้อหาใหม่แบบไดนามิกภายในเบราว์เซอร์โดยใช้ลอจิกอินเทอร์เฟซผู้ใช้ และปรับเปลี่ยนเนื้อหาเว็บเพจที่อยู่บนไคลเอ็นต์อยู่แล้ว ความหมายมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในสองบริบทแต่ก็มีความเกี่ยวข้องกัน และทั้งสองแนวทางทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานของผู้ใช้




4. ประโยชน์ของ JavaScript มีอะไรบ้าง

  • เรียนรู้และใช้งานง่าย
ไวยากรณ์ของ JavaScript ได้รับแรงบันดาลใจจากภาษาโปรแกรม Java จึงเรียนรู้และเขียนโค้ดได้ง่าย นักพัฒนาใช้ JavaScript ในเกือบทุกเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือสำหรับการเขียนสคริปต์ฝั่งไคลเอ็นต์ นอกจากนี้ Node.js ยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับการเขียนโค้ดแบ็คเอนด์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แพลตฟอร์มการสตรีมและวิดีโอเจ้าใหญ่ ๆ หลายเจ้าก็ได้รับการเขียนโค้ดใน Node.js
ได้รับความเป็นอิสระจากแพลตฟอร์ม
JavaScript ไม่เหมือนกับภาษาโปรแกรมอื่น ๆ ตรงที่คุณสามารถใส่ JavaScript เข้าในเว็บเพจใดก็ได้ และนำ JavaScript มาใช้กับเฟรมเวิร์กและภาษาการพัฒนาเว็บอื่น ๆ ได้อีกมากมาย เมื่อคุณเขียนขึ้นมาแล้ว คุณก็สามารถเรียกโค้ด JavaScript ได้บนทุกเครื่อง ดังนั้น JavaScript จึงทำให้การพัฒนาแอปพลิเคชันไม่ต้องขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์ม

  • ลดโหลดของเซิร์ฟเวอร์
คุณสามารถใช้ JavaScript เพื่อลดโหลดของเซิร์ฟเวอร์และความคับคั่งของเครือข่าย เพราะ JavaScript สามารถเรียกใช้การดำเนินการเชิงตรรกะและทำงานหลายอย่างของเซิร์ฟเวอร์ได้บนไคลเอ็นต์เอง ตัวอย่างเช่น ลองพิจารณากระบวนการกรอกแบบฟอร์มลงทะเบียน JavaScript ตรวจสอบอย่างรวดเร็วว่าคุณได้ป้อนหมายเลข 10 หลักสำหรับช่องหมายเลขโทรศัพท์หรือไม่ หากคำขอเหล่านี้ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ หน้าของคุณจะโหลดใหม่สำหรับทุกข้อผิดพลาด ทำให้กระบวนการลงทะเบียนช้าและน่าเบื่อมาก

  • ปรับปรุงอินเทอร์เฟซผู้ใช้
JavaScript สร้างเว็บไซต์ที่ดูสวยงามทและำให้การค้นหาและประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนทำได้โดยสะดวก นักพัฒนาใช้ JavaScript เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงานและความสามารถในการอ่าน และเพื่อทำให้การโต้ตอบของผู้ใช้บนเว็บไซต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • สนับสนุนกระบวนการทำงานพร้อมกัน
JavaScript สามารถเรียกใช้ชุดคำสั่งหลายชุดที่แตกต่างกันได้อย่างขนานกัน ที่แบ็คเอนด์ Node.js สามารถจัดการและประมวลผลการตอบสนองของเซิร์ฟเวอร์ที่ถูกปรับขนาดเป็นอย่างสูงได้โดยไม่ต้องใช้แบนด์วิธในปริมาณที่เท่ากัน



5. บทสรุปของ Javascript


ภาษา Javascript เป็นที่นิยมในปัจจุบัน เพราะสาเหตุการใช้งานที่สามารถโต้ตอบ และมีความเป็นไดนามิก รองรับความต้องการของผู้ใช้งาน จนพัฒนามาเพื่อให้ใช้งานได้แฟลตฟอร์ม ภายใต้แนวคิดของภาษา Java ที่ว่า "เขียนครั้งเดียว รันได้แฟลต์ฟอร์ม" สามารถทำงานทั้งในฝั่ง Service-side และ Client-side ได้อีกด้วย ดังนั้นโปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่จึงหันมาพัฒนา แอบฟลิเคชั่นด้วยภาษา Javascript 

นอกเหนือจากการนำไปใช้ในคุณสมบัติไดนามิกแล้ว ความแตกต่างอีกประการหนึ่งระหว่างการใช้ JavaScript สองแบบคือทรัพยากรที่โค้ดสามารถเข้าถึงได้ ทางฝั่งไคลเอ็นต์ เบราว์เซอร์จะควบคุมสภาพแวดล้อมรันไทม์ของ JavaScript โค้ดจึงสามารถเข้าถึงได้เพียงทรัพยากรที่เบราว์เซอร์อนุญาตให้โค้ดเข้าถึงเท่านั้น ตัวอย่างเช่น โค้ดไม่สามารถเขียนเนื้อหาลงในฮาร์ดดิสก์ของคุณได้เว้นแต่คุณจะคลิกปุ่มดาวน์โหลด ในทางกลับกัน ฟังก์ชันฝั่งเซิร์ฟเวอร์สามารถเข้าถึงทรัพยากรทั้งหมดของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ได้ตามที่จำเป็น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

SaaS API-Base Definition, Benefits, Challenges, Problems and Goal for Innovation

What is an Application Programming Interface? API is a set of protocols, standards, and tools that allow two or more software applications to connect and share specific data. API  What is API-Base Saas? API-based SaaS is a software application hosted in the cloud. Users and other programs can access the software’s features, data, and functions via an API instead of a user interface. API refers to the software delivery model as a SaaS Application's functionalist and features are exposed and made to customers through APIs. This combination of the business model of technology on a cloud-base.   This is an integration Service on the cloud provider The Benefits of API-Base SaaS User Experience  Simplifies Development  Increases Accessibility Flexible and Scalable  The Challenges of API-Base SaaS Startup Performance  Integration  Security Pricing What’s The Difference Between SaaS And An API? RPC APIs.  WebSocket APIs. SOAP APIs. REST APIs. The Too...

Interactive เทคโนโลยีเชิงโต้ตอบเปลี่ยนโลกเข้าสู่ยุค Metaverse

เทคโนโลยี Interactive คืออะไร คำนิยามของ เทคโนโลยี Interactive ที่สร้างและพัฒนาขึ้นสำหรับโปรแกรมหรือแอพลิเคชั่นที่เป็น Real-Time เรียกง่ายๆว่า Real-Time Programming (RTP) โดยเน้นไปยังผู้ใช้หรือมนุษย์นั้นเอง จะประกอบไปด้วย 2 องค์ประกอบ คือ ส่วนแรก เทคโนโลยี Interactive เข้าทำการเปลี่ยนแปลรูปร่าง ขนาด และรูปแบบ ซึ่งมาจาก web service อุปกรณ์ sensor ผ่านคอมพิวเตอร์ และมือถือ เป็นผสมผสานระหว่างระบบดิจิทัลและแอนนาล๊อกเข้าด้วยกัน ผ่านปุ่ม สไลด์เดอร์ หรือสวิทซ์ เพื่อการควบคุมในส่วนควบคุมทั้งหมด ที่เรียกว่า Control panel  ส่วนที่ 2  แอพลิเคชั่นที่ทำงานแบบ Real Time Application ถูกออกแบบในแนวคิดหลักของเทคโนโลยี Real Time  อ้างอิง https://interactiveimmersive.io/blog/beginner/02-interactive-technology/ เทคโนโลยีเชิงโต้ตอบที่เน้นการสร้างต้นแบบที่เร็วขึ้น มีประโยชน์อย่างมากในแอปพลิเคชันและประสบการณ์การสร้างต้นแบบ  ประเภทของเทคโนโลยี Interactive  มี 6 ประเภท 1. IoT เป็นแนวคิดจะเปลี่ยนบริการทุกบริการให้อยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และสามารถเชื่อมต่อเข้ากับแอพลิเคชั่นทุกแอ...